เท้าล้ม เท้าแบน ในเด็ก รู้เร็วป้องกันได้

เท้าล้ม เท้าแบนคืออะไร

คือเกิดการเอียงของข้อเท้าเข้าด้านในและอุ้งเท้าแบนราบ ทำให้มีการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าด้านในมากเกินไปในขณะยืน เดิน หรือวิ่ง โดยเป็นความผิดปกติที่ยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด บางคนมีภาวะเท้าล้มหรือเท้าแบนแต่กำเนิด ในขณะที่บางคนมีลักษณะกิจกรรมหรือการใช้ชีวิตที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเท้าแบน อุ้งเท้าอ่อนแรง หรือเท้าล้มได้ โดยคนเท้าแบนส่วนมากมักจะมีอาการปวดต่าง ๆ บริเวณขาและเท้าได้ เนื่องจากการลงน้ำหนักที่เท้าไม่เหมาะสมทำให้เท้าไม่สามารถกระจายน้ำหนักตัวได้ดี จึงเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของโครงสร้างเท้าและยังส่งผลต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นเข่า หรือสะโพกร่วมด้วยได้

ความแตกต่างระหว่าง เท้าล้ม (Pronated feet) และ เท้าแบน (Flat feet)

ภาวะเท้าล้มและเท้าแบนมักจะเป็นภาวะที่พบร่วมกันบ่อยครั้ง แต่ความจริงแล้วภาวะเท้าแบน เป็นลักษณะของการไม่มีอุ้งเท้าด้านในทำให้ฝ่าเท้าทั้งหมดแตะพื้น แตกต่างจากภาวะเท้าล้มซึ่ง จะมีการเคลื่อนไหวของเท้าขณะทำกิจกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การยืน การเดินหรือการวิ่ง ซึ่งภาวะนี้จะนำไปสู่แรงที่เปลี่ยนไปของเท้าและขา ทำให้ข้อเท้าเฉียงเข้าด้านในเมื่อมองจากด้านหลัง

เท้าแบนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

  1. เท้าแบนแบบยืดหยุ่น (flexible flat foot) คือ ลักษณะที่มีภาวะเท้าแบนเมื่อยืนลงน้ำหนักที่เท้า แต่เมื่อไม่ได้ลงน้ำหนักที่เท้าจะเห็นโค้งอุ้งเท้าปกติ ลักษณะเท้าแบนแบบยืดหยุ่นนี้มักเป็นมาแต่กำเนิด ในเด็กโตที่มีภาวะเท้าแบนแบบยืดหยุ่นมักพบภาวะเอ็นร้อยหวายหดสั้นร่วมด้วยโดยการแก้ไขสามารถทำได้ด้วยการคลายกล้ามเนื้อที่มีความตึงตัวด้วยการทำกายภาพภาพบำบัด หรือนวดสปอร์ตสำหรับเด็กร่วมกับการได้รับคำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ช่วยเสริม
  2. เท้าแบนแบบโครงสร้างเท้าติดแข็ง (rigid flat foot) คือ ลักษณะที่มีโค้งของอุ้งเท้าน้อยกว่าปกติตลอดเวลาแม้จะอยู่ในท่ายืนลงน้ำหนักที่เท้าหรือไม่ได้ยืนลงน้ำหนักที่เท้าก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อปรับรูปเท้าให้อยู่ในลักษณะที่เหมาะสมหากลักษณะเท้าแบนนั้นส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เช่น ทำให้เกิดการผิดรูปของเข่ามากขึ้นหรือส่งผลต่อการเดินและการใช้ชีวิตประจำวัน

ผู้ปกครองจะเริ่มสังเกตได้เมื่อไหร่ว่าเด็กอาจมีภาวะเท้าล้ม เท้าแบน

โดยทั่วไปในเด็กเล็กที่มีอายุก่อน 2 ปีจะไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กเท้าแบนหรือไม่เนื่องจากในเท้าของเด็กเล็กจะมีเนื้อเยื่อไขมัน เป็นส่วนมากเนื่องจากยังไม่ค่อยได้ยืน และเมื่อต้องเริ่มฝึกยืนหรือเดินหรือลงน้ำหนัก อุ้งเท้าด้านในจึงจำเป็นในการช่วยรองรับน้ำหนักของร่างกายขณะยืนและช่วยกระจายน้ำหนักขณะเดิน

อุ้งเท้าตามแนวยาวทางด้านใน (medial longitudinal arch) จะเริ่มแสดงให้เห็นในช่วงอายุระหว่าง 2-3 ปี และพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ (สูงขึ้น) เมื่อเด็กโตเข้าสู่ช่วงวัยเรียน โดยจุดสูงสุดของโค้งกระดูกเท้าเมื่อพัฒนาเต็มที่จะสูงจากพื้นประมาณ 18-20 มิลลิเมตร ผู้ปกครองอาจสังเกตเห็นความผิดปกติได้ด้วยตนเอง และพบนักกายภาพบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจประเมินและหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม

พฤติกรรมที่อาจเสี่ยงให้เกิดเท้าล้ม เท้าแบนในเด็ก

ภาวะเท้าแบนในเด็กอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ทั้งทางพันธุกรรมและพฤติกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่อาจทำให้เกิดแรงกดทับที่เท้ามากเกินไป หรือส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเอ็นที่เท้า ซึ่งบางกิจกรรมอาจเป็นกิจกรรมที่ไม่ทันได้ระวังและมองข้ามไป ยกตัวอย่างเช่น

  • การนั่งท่า W-sitting การนั่งไขว่ห้างในท่า W-sitting ทำให้เข่าหมุนเข้าหากันและลงน้ำหนักที่ด้านในของเท้ามากขึ้น ซึ่งอาจส่งเสริมให้เกิดภาวะเท้าแบน
  • การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม การสวมรองเท้าที่ไม่รองรับอุ้งเท้า หรือรองเท้าที่คับเกินไป อาจทำให้เท้าและข้อเท้าเกิดการบาดเจ็บ หรือส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเอ็นที่เท้า
  • การทำกิจกรรมที่ใช้เท้ามากเกินไป การวิ่ง การเล่นกีฬา หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้เท้าเป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อล้าและเกิดการบาดเจ็บที่เท้าได้
  • น้ำหนักตัวที่มากเกินไป เด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก จะทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักที่มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะเท้าแบนได้ง่ายขึ้น
  • การเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง การเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็งเป็นเวลานาน อาจทำให้เท้าต้องรับแรงกระแทกมากขึ้น และส่งผลต่อการทำงานของอุ้งเท้าได้
  • การนั่งที่ไม่ถูกหลักการยศาสตร์ การนั่งบนพื้นโดยไม่รองรับหลัง หรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อการลงน้ำหนักของเท้า และทำให้เกิดภาวะเท้าแบนได้

วิธีการป้องกัน แก้ไข เท้าล้ม เท้าแบนในเด็ก

จากปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่เราสามารถป้องกัน แก้ไขได้ หากผู้ปกครองได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ และนำไปสังเกต ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงบุตรหลานของท่าน ให้บุตรหลานของท่านยังคงได้เล่นสนุกกับกีฬา หรือกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ ได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล และยังไม่ต้องรับความเสี่ยงการเท้าล้ม เท้าแบนได้อีกด้วย โดยทางทีม vitala ของเราใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงวัยเด็กเป็นช่วงวัยที่ร่างกายต้องได้รับการดูแล ฝึกฝน ที่ถูกต้อง รองรับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเด็กที่เข้ารับการเทรนโปรแกรมเตรียมความพร้อมนักกีฬากับทาง vitala ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มนักกีฬาที่ต้องเทรนเพื่อเพิ่มสมรรถภาพ ให้ถึงขีดความสามารถสูงสุด ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอาจจะต้องมีการใช้งานร่างกายค่อนข้างหนักอยู่เป็นประจำ ทั้งในระหว่างการฝึกซ้อม และการแข่งขัน นอกจากนี้ในเด็กที่เข้ารับการเทรนโปรแกรมเทรนกล้ามเนื้อและข้อต่อในเด็กและกระตุ้นความสูง หรือเด็กที่มีภาวะน้ำเกินที่เข้ามารับการเทรนเพื่อเพิ่มกิจกรรมทางกายเองก็ตาม ก็ไม่ควรมองข้ามอวัยวะที่เป็นรากฐานของร่างกายซึ่งก็คือเท้าทั้ง 2 ข้างของเรานั่นเอง ทางทีม vitala ได้มองเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้ จึงจัดให้มีโปรแกรมตรวจประเมินเท้าล้ม เท้าแบน ในเด็ก ควบคู่ไปกับการตรวจประเมินสมรรถภาพทางกายด้านอื่นๆด้วย ซึ่งหากตรวจพบว่ามีภาวะเสี่ยงก็จะออกแบบโปรแกรมการฝึกที่เหมาะเพื่อพัฒนาในส่วนของอุ้งเท้าด้วยการให้ท่าบริหารที่เหมาะสม หรือในบางรายที่อาจแนะนำให้ทำแผ่นเสริมรองเท้าเฉพาะบุคคล ที่ทำการวัดโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มีการรองรับอุ้งเท้าที่ดี จัดตำแหน่งที่ถูกต้องของเท้า ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บของขาและเท้า และไม่ให้มีการล้มของเท้าไปมากกว่าเดิม

ขั้นตอนการตรวจประเมินภาวะเท้าล้ม เท้าแบน

  1. พบนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการตรวจประเมิน Posture alignment ตั้งแต่ศีรษะถึงข้อเท้า
  2. ตรวจโครงสร้างเท้าด้วย Foot Posture Index
  3. วิเคราะห์โครงสร้างร่างกาย เพื่อนำไปออกแบบท่าออกกำลังกายร่วมกับนักวิทยาศาสตร์การกีฬา
  4. ให้คำแนะนำด้านการดูแลตัวเองและออกกำลังกายเพื่อปรับสมดุลโครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อ
  5. ทางเลือกในการดูแลสุขภาพเท้า โดยการตัดแผ่นเสริมรองเท้า (Insole) เพื่อปรับสมดุลการลงน้ำหนักของเท้าให้อยู่ในแนวปกติมากขึ้น

ท่าออกกำลังกายในภาวะเท้าแบน

  1. ขยุมผ้า (Towel Scrunch)

วิธีทำ: วางผ้าหรือพรมเช็ดเท้าไว้ใต้เท้า ใช้นิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้างดึงผ้าขนหนูเข้าหาตัว ทำซ้ำ 5 ถึง 10 ครั้งต่อเซท

ประโยชน์: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเท้า

  1. ยืดกล้ามเนื้อน่อง (Calf Stretch)

วิธีทำ: ให้วางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหน้าอีกข้างประมาณหนึ่งก้าว ปลายเท้าทั้งสองข้างชี้ตรง งอขาหน้าแล้วดันไปข้างหน้าโดยลงน้ำหนักทั้งหมดไปที่เท้าหน้าพร้อมทั้งยืดตัวให้ตรง ค้างท่าไว้สูงสุด 30 วินาที แล้วสลับข้าง

ประโยชน์: คลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวาย

  1. ยืนเขย่ง (Calf Raise)

วิธีทำ: ยืนตัวตรงแล้วยกส้นเท้าทั้งสองข้างขึ้นจากพื้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้ 5 วินาทีก่อนจะลดเท้าลง ทำซ้ำ 15 ถึง 20 ครั้งต่อเซ็ต

ประโยชน์: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่องและเพิ่มความมั่นคงของข้อเท้า

  1. ยืนขาเดียว (Single Leg Stand)

วิธีทำ: ยืนตัวตรงแล้วยกขาขึ้นข้างหนึ่ง ค้างไว้อย่างน้อย 10 วินาที แล้วสลับข้าง สามารถเพิ่มความยากโดยการยืนให้นานขึ้นหรือยืนบนพื้นนิ่มได้ตามความเหมาะสม

ประโยชน์: ฝึกการทรงตัวเพื่อเพิ่มความมั่นคงของข้อเท้า

  1. ท่าเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อสะโพก (Clamshells)

วิธีทำ: นอนตะแคง งอเข่าและสะโพกเข้าหากัน กางและหุบเข่าโดยให้ข้อเท้าชิดกันเหมือนเปลือกหอย ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง แล้วสลับข้าง สามารถใช้แถบยางยืดรอบต้นขาพื่อเพิ่มแรงต้านได้ตามความเหมาะสม

ประโยชน์: เพื่อเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้างและชดเชยการลงน้ำหนักที่มากเกินไปของฝ่าเท้าด้านใน